:::     :::

เมื่อฟุตบอลเป็นธุรกิจ

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
211
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
30 ปี ผ่านไปกับเหตุการณ์ "กังฟูคิก" อันลือลั่นของ เอริก คันโตน่า ใส่แฟนบอล คริสตัล พาเลซ สำหรับแฟนบอลหลายคนยังคงจำมันได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

    แน่นอนว่านั่นเป็นอะไรที่บ้ามากที่เกิดขึ้นในโลกลูกหนัง

    หลังจากได้รับใบแดง "ก็องโต" โดนแฟนบอล พาเลซ ตะโกนด่าทอ แต่เจ้าตัวไม่ได้เดินออกจากสนามไปเฉย ยังฝาก "รอยเท้า" กับหนึ่งหมัดใส่แฟนบอลคนนั้นด้วย

    การตอบโต้ของเขาคืออะไร? เขาพุ่งใส่ใครสักคนที่ด่าดอหรือรังแกเขาเท่านั้น

    แต่จากสิ่งที่ เอริก คันโตน่า ทำนั่นกลับทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังมากยิ่งขึ้นไปอีกและกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาพา "พรีเมียร์ลีก" ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ให้ได้รับความสนใจในแง่ของความ "ดราม่า" และปัจจุบันภาพนั้นของเขายังคงถูกนำมาใช้อย่างสนุกสนาน


    อันที่จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากกว่า คุณต้องโกรธมากแค่ไหนกันถึงจะทำอะไรแบบนั้นได้

    แน่นอนว่านักฟุตบอลสมัยนี้มีไม่น้อยที่เจ้าอารมณ์และหงุดหงิดง่าย แต่พูดได้เต็มปากเลยว่าเราคงไม่มีวันได้เห็นใครเดินเข้าไปหาแฟนบอลและทำแบบนั้นแน่นอน

    โดยหลักการแล้วนั่นเป็นสิ่งที่ดี แน่นอนว่าคุณไม่สามารถทำแบบนั้นในสนามฟุบอลได้ ไม่ว่าคุณจะได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากแฟนบอลมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหยียดเชื้อชาติ เหยียดเพศที่สาม หรือต่อให้เลวร้ายกว่านั้น

    เราไม่อยากเห็นใครโดนทำร้ายร่างกาย เช่นเดียวกับที่เราไม่ได้อยากเห็น เปาโล ดิ คานิโอ ผลักผู้ตัดสิน พอล อัลค็อก ล้มไปกองกับเพื่อเมื่อปี 1998


    มองกลับมาที่ปัจจุบัน นักฟุตบอลแทบจะกลายเป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว ทุกคนไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ได้เหมือนคนปกติในขอบเขตที่เหมาะสม ซึ่งถ้าถามว่าทำไมมัน จุดใหญ่เลยก็คือเรื่องของ "ธุรกิจ" นั่นเอง ที่ทำให้พ่อค้าแข้งปัจจุบันต้องอดทนอดกลั้น

    ทุกวันนี้เกมดูไร้ชีวิตชีว่าไปบ้าง มันเป็นเรื่องของการรักษาธุรกิจของสิ่งต่างๆ เอาไว้แทนที่จะสร้างความบันดทิงและเรื่องราวน่าตกตะลึงที่กลายเป็นพาดหัวข่าว

    แม้แต่การฉลองประตูยังน่าเบื่้อเลย เพราะแค่การถอดเสื้อยังโดนใบเหลืองเลย!

    เราไม่มีทางได้เห็นบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง เอริก คันโตน่า, เปาโล ดิ คานิโอ หรือ พอล แกสคอยน์ ที่เป็นพวกหัวรั้น ไร้หลักการและอาจจะทำอะไรที่ผิดพลาดแบบนั้น แต่แน่นอนว่าเราคงไม่เอาเขาไปประหารเพราะเรื่องนี้

    อย่าง คันโตน่า เขาถูกวิจารณ์อย่างสมควรและถูกลงโทษกับการกระทำของเขาด้วยการโดนแบน 9 เดือน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอีกเช่นกันที่เราจะต้อนรับเขากลับมาเมื่อพ้นโทษ    


    ลองจินตนาการดูว่าหากนักเตะใน พรีเมียร์ลีก ตอนนี้ทำแบบนั้นบ้างอะไรจะเกิดขึ้น? เส้นทางอาชีพของพวกเขาอาจจะจบสิ้น โดนถีบหัวส่ง ข้อตกลงกับสปอนเซอร์ก็ถูกยกเลิก ถูกตราหน้าเป็นคนเลวจนไม่มีที่ยืนในสังคม

    ขนาด เมสัน กรีนวู้ด ที่ทำร้ายร่างกายแฟนซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวยังอยู่ไม่ได้จน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องตัดใจขายให้ มาร์กเซย ทั้งที่นี่คือหนึ่งในแข้งพรสวรรค์สูงของสโมสร

    เห็นฟอร์มของ กรีนวู้ด ตอนนี้แล้วสาวกผีก็คงเสียดายหลังกดไปแล้ว 12 ลูกใน ลีก เอิง นำเป็นดาวซัลโวในขณะนี้ แทบจะยิงได้เกือบครึ่งของทีม ยูไนเต็ด ทำได้ในลีกที่ 27 ลูกเท่านั้น

    เกมฟุตบอลยุคใหม่ต้องมีความสมดุล ไม่ทำอะไรที่เกินไป ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน ทุกคนต้องดูสมบูรณ์แบบโดยที่ลืมไปแล้วว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ


    ในขณะที่แฟนบอลยังคงเลวร้ายหรือจะบอกว่าหนักกว่าเก่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราได้เห็นแฟนบอล ปีเตอร์โบโร่ ถูกแบน 3 ปีหลังแสดงท่าทางเหยียดผิวเมื่อปีที่แล้ว หรือจะอีกคนที่โดนจับและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหลังส่งข้อความที่น่ารังเกียจถึงภรรยาของ ไค ฮาแวร์ตซ์ กองหน้า อาร์เซน่อล

    หรือจะเป็น เดแคลน ไรซ์ ที่ถูกปาด้วยแก้วพลาสติกหรือของอื่นๆ ในระหว่างเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ดินาโม ซาเกร็บ

    กลับเป็นนักฟุตบอลที่ถูกบอกว่าอย่าตอบโต้ ซึ่งอันที่จริงมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่บางครั้งพวกเขาก็ถูกล้ำเส้นเกินไป

    แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าตอนนี้มันเป็นเรื่องของ "ธุรกิจ" ไปหมดแล้ว

คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด