คืนนั้นที่ มอสโก

ภายใต้การนำของ อัฟราม แกรนท์ ที่เข้ามาคุมทีมแทน โชเซ่ มูรินโญ่ หลังเปิดฤดูกาลไปไม่เท่าไร "สิงห์บลูส์" เดินหน้าอย่างมั่นคงในเวทียุโรป เริ่มจาก 6 เกมในรอบแบ่งกลุ่มที่ไม่แพ้มครที่อยู่ร่วมกับ บาเลนเซีย, ชาลเก้ และ โรเซนบอร์ก โดบชนะ 3 เสมอ 3 เก็บไป 12 คะแนน
จากนั้นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายทีมเอาชนะ โอลิมเปียกอส ด้วยสกอร์รวม 3-0 โดยเกมแรกบุกเสมอที่ กรีซ 0-0 และกลับมาชนะที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 3-0 ส่วนในรอบ 8 ทีมสุดท้ายต้องลึ่นหน่อยในการเจอกับ เฟเนร์บาห์เช่ จาก ตุรกี โดยเกมแรกไปแพ้มาก่อน 1-2 แต่กลับมาชนะในบ้าน 2-0
ในรอบรองชนะเลิศ สิงโตแห่งกรุงลอนดอน สามารถโค่นคู่ปรับร่วมลีกอย่าง ลิเวอร์พูล ลงได้สำเร็จ โดยเกมแรกบุกเสมอที่ แอนฟิลด์ 1-1 และกลับมาชนะในบ้าน 3-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ รวมผลสองเกมชนะ 4-3 ในเกมที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของฝั่ง "สิงห์บลูส์" หลังจากที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เพิ่งเสียคุณแม่ได้วันเดียว
เช่นเดียวกับเกมชิงชนะเลิศที่ มอสโก ประเทศรัสเซีย กับการเจอสโมสรร่วมลีกอีกครั้งอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเป็นอีกครั้งที่ แลมพาร์ด ทำประตูได้โดยเป็นประตูตีเสมอหลังทีมโดนเจาะตาข่ายไปก่อนจากลูกโหม่งของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
สุดท้ายไม่มีประตูเพิ่มยื้อกันไปถึงช่วงต่อเวลาจนกระทั่งยิงจุดโทษสุดดราม่า โดยตลอด 4 คนแรกของทีมไล่ตั้งแต่ มิเชล บัลลัค, ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ, แฟร้งค์ แลมพาร์ด และ แอชลี่ย์ โคล ต่างยิงเข้ากันหมด 4 คนแรกของทีม ส่วนฝั่ง "ปีศาจแดง" ยิงก่อนมี คาร์ลอส เตเวซ, ไมเคิ่ล คาร์ริค, โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ และ นานี่ ที่ยิงเข้า แต่ โรนัลโด้ พลาด
นั่นทำให้คนสุดท้ายของ เชลซี หากยิงเข้าทีมจะเป็นแชมป์ทันที และไม่ใช่ใครที่ไหน จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมนั่นเอง หากส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้มันจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก แต่สุดท้ายเขาลื่นยิงบอลออกนอกกรอบส่วนที่เหลือทุกคนคงรู้อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น
แชมป์เป็นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในที่สุด
จอห์น เทอร์รี่ ออกมาเปิดใจไม่กี่เดือนหลังเกมดังกล่าวว่า "ทุกเช้าที่ผมตื่นนอน นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิดถึง ผมยังผิดหวังอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมเป็นนักเตะชั้นนำและมีแคแร็กเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับผมที่จะจัดการกับมัน"
ก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ในปี 2008/09 เทอร์รี่ บอกว่า "ผมตั้งตารอฤดูกาลใหม่เพื่อจะจบลงความผิดหวังที่แสนขมขื่นที่มีต่อสโมสร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตัวผมเอง"
แต่เรื่องนี้กลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้งหลังจากที่ โคล้ด มาเกเลเล่ หนึ่งในขุนพลชุดดังกล่าวให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับ "เดอะ ไลน์อัพ" นำเสนอโดย เบทบีเอ็มจี และ ทอล์คสปอร์ต โดยบอกว่าเดิมที จอห์น เทอร์รี่ ไม่มีชื่อในลิสต์ 5 คนแรกของการยิงจุดโทษ แต่เจ้าตัวใช้อำนาจในฐานะ "กัปตันทีม" ใส่ตัวเองในนาทีทสุดท้าย
"ห้องแต่งตัวหลังจบเกมลุดเป็นไฟ ไม่มีใครที่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ต้องอยู่ตรงนั้น" มาเกเลเล่ เผย "เราทำผิดพลาดครั้งใหญ่ก่อนดวลจุดโทษ เรามีการวางผู้เล่นที่จะรับหน้าที่เรียบร้อย แต่มันมีการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย"
"เดิมที โซโลมอน กาลู จะเป็นคนยิงจุดโทษคนสุดท้าย แต่ว่า จอห์น (เทอร์รี่) ฉวยโอกาสนั้นไป ผมคิดว่าแพ้การแข่งขันเพราะบางครั้งฟุตบอลก็โหดร้ายเกินไปและถ้าคุณไม่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง คุณจะถูกลงโทษ"
"ผมโกรธมากตอนที่เขายิงจุดโทษพลาดเพราะมันคือโอกาสที่ผมรู้ว่านักเตะอายุน้อยหลายคนอาจจะไม่มีอีกแล้วในชีวิต ผมเคยได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว แต่ตอนนั้น จอห์น คือผู้นำและเขาทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีม"
"เขาไม่ได้ทำให้แน่ใจว่าเราจะได้โทรฟี่ เขาพยายามจะเป็นฮีโร่ ถ้าเขารู้เรื่องนี้เขาคงเป็นฮีโร่ไปแล้วเพราะเขาจะได้ชูถ้วยแชมป์"
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว จอห์น เทอร์รี่ เผยในรายการ อัพ ฟร้อนท์ พ็อดแคสต์ ว่า "นั่นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลของผมเลย ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ลืม ผมไม่คิดว่าจะลืมมันได้ มันน่าสนใจเพราะในฐานะนักเตะเราผ่านช่วงเวลาที่ดีมากมาย แต่ช่วงเวลาแย่ๆ จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต"
"คืนนั้นเราแพ้ เรากลับไปที่โรงแรมและผู้จัดการทีมก็ขอให้เราทุกคนลงไปนั่นกื่มกันหน่อย แต่ผมอยู่แต่ในห้องเพราะผมไม่สามารถไปเจอหน้าเพื่อนร่วมทีมได้ สุดท้ายผมก็ลงไปและดื่มเบียร์ร่วมกับทุกคน"
"ผมจำได้ว่ายืนอยู่ในห้องโรงแรมชั้น 25 มองดูเมืองมอสโกและถามตัวเองว่า 'ทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมต้องฝนตก ทำไมผมต้องลื่นล้ม' สิ่งที่ยากที่สุดคือในอีก 3 วันถัดมา เรามีเกมกระชับมิตรระหว่าง อังกฤษ กับ สหรัฐฯ ที่ เวมบลีย์ ซึ่งเกมจบที่ผลเสมอกัน 1-1 ผมโหม่งประตูได้จากตรงจุดโทษ หากผมต้องแลกสองประตูไหนก็ได้ในอาชีพคงเป็นสองประตูนี้"
อย่างไรก็ตามสุดท้าย จอห์น เทอร์รี่ ก็ประสบความสำเร็จในปี 2011/12 ที่พาทีมเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรกได้สำเร็จจนได้
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT