ก่อนดวลกันอีกครั้ง

คู่แข่งที่ "สิงห์บลูส์" ต้องเจอเริ่มตั้งแต่ บาเยิร์น มิวนิค (เยือน), เบนฟิก้า (เหย้า), อาแจ็กซ์ (เหย้า) การาบัก (เยือน), บาร์เซโลน่า (เหย้า), อตาลันต้า (เยือน), ปาฟอส (เหย้า) และ นาโปลี (เยือน)
ในอดีตที่ผ่านมามีแค่ อตาลันต้า และ ปาฟอส สองทีมเท่านั้นที่ เชลซี ยังไม่เคยเจอ แต่อีก 6 ทีมที่เหลือทีมเคยผ่านมาหมดแล้ว
วันนี้จะย้อนไปดูการเจอกับ 6 ทีมก่อนหน้านี้กับผลงานที่ดีที่สุด รวมถึงการคว้าแชมป์รายการนี้ครั้งแรกของสโมสรเมื่อปี 2012 ด้วย
เชลซี 4-2 บาร์เซโลน่า
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2
8 มีนาคม 2005
เกมนี้ถือเป็นหนึ่งในแม็ตช์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เชลซี และตอกย้ำความเป็นคู่ปรับระหว่างพวกเขากับ บาร์เซโลน่า ในช่วงเวลานั้นที่เต็มไปด้วยสุดยอดแข้งอย่าง การ์เลส ปูโยล, ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อีเนียสต้า, ซามูเอล เอโต้ และ โรนัลดินโญ่
หลังจากที่แพ้มาก่อน 1-2 ในเกมเลกแรกที่ คัมป์ นู ทัพ "สิงห์บลูส์" ภายใต้การนำของ โชเซ่ มูรินโญ่ ลงสู่สนามที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
เชลซี เปิดตัวอย่างร้อนแรงต่อหน้าแฟนบอลด้วยการทะลวงตาข่ายนำห่าง 3-0 จาก ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น, แฟร้งค์ แลมพาร์ด และ เดเมี่ยน ดัฟฟ์ แต่ว่าสถานการณ์ก็มาพลิกผันเมื่อ โรนัลดินโญ่ ทำ 2 ประตูให้ "เจ้าบุญทุ่ม" ไล่มาเป็น2-3 พลิกสถานการณ์กลับมาได้เปรียบจากกฎประตูทีมเยือน
อย่างไรก็ตามสุดท้ายเป็น จอห์น เทอร์รี่ ที่เป็นฮีโร่พังประตูให้ทีมคว้าชัย 4-2 ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ น่าเสียดายที่สุดท้ายทีมไปจอดป้ายที่รอบรองชนะเลิศหลังแพ้ ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์รวม 0-1
เชลซี 4-1 นาโปลี
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2
14 มีนาคม 2012
อีกหนึ่งในเกมแห่งความทรงจำของแฟนบอล เชลซี และมันเกิดขึ้นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้ง หลังจากเกมแรกที่ทีมไปโดน นาโปลี อัดมาก่อน 1-3 ที่ อิตาลี
อันเดร วิลลาช-โบอาช ที่คุมทีมมาตั้งแต่ต้นซีซั่นถูกปลดจากตำแหน่งและ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ เข้ามาคุมทีมต่อไม่ถึง 2 สัปดาห์ก่อนเกมนี้
"สิงห์บลูส์" นำก่อน 1-0 ในครึ่งแรกจากประตูของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา จากนั้นต้นครึ่งหลัง จอห์น เทอร์รี่ มาบวกประตูที่สองให้กับทีม แต่สถานการณ์กลับตึงเครียดขึ้นเมื่อโดน โกคาน อินเลอน์ มาตีไข่แตกให้ทีมเยือนนาทีที่ 55
แต่จากพลพรรคสีน้ำเงินก็รวมพลังกันและจุดประกายแรกจากจุดโทษของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด นาทีที่ 75 ยืดเกมออกไปในช่งต่อเวลาพิเศษและเป็น บรานิสลาฟ อิวโนวิช ที่เป็นฮีโร่พังประตูช่วงทดเจ็บครึ่งแรกช่วยทีมคว้าชัยได้ 4-1
เชลซี 2-1 เบนฟิก้า
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่ 2
4 เมษายน 2012
ยังอยู่ในการแข่งขันปีเดียวกับรอบถัดมาหลังจากที่ผ่าน นาโปลี มาได้ คราวนี้เป็นทีของทีมแกร่งจาก โปรตุเกส อย่าง เบนฟิก้า โดยเกมแรกที่ เอสตาดิโอ ดา ลูซ ทีมบุกคว้าชัย 1-0 จากประตูของ ซาโลมง กาลู
นาทีที่ 21 ของเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ แฟนบอลเจ้าบ้านได้เฮกันเมื่อ แฟร้งค์ แลมพาร์ด สังหารจุดโทษเข้าไป และรอบตัดเชือกดูไม่น่าจะหลุดลอยไปไหนเมื่อผู้มาเยือนเหลือ 10 คน หลัง มักซี่ เปเรยร่า โดนไล่ออกจากสนาม
แต่ช่วงท้ายกลับมามีเสียวเใอ ฆาบี การ์เซีย ตามตีเสมอให้ผู้มาเยือนได้ แต่ว่าในช่วงทดเจ็บ ราอูล เมยเรเลส มายิงประตูในจังหวะสวนกลับช่วยให้ทีมได้ฉลองกัน
เชลซี 1-1 บาเยิร์น มิวนิค (ต่อเวลาพิเศษ, ชนะจุดโทษ 4-3)
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ
19 พฤษภาคม 2012
เชลซี ลงสนามในเกมนี้พร้อมกับความเสียเปรียบอยู่เล็กน้อยเมื่อสังเวียนการแข่งขันคือ อัลลิอันซ์ อารีน่า ที่เป็นสนามเหย้าของ บาเยิร์น มิวนิค พอดี
เกมสู้กันอย่างสูสีและเมื่อเข้าสู่ช่วง 7 นาทีสุดท้ายเป็น โธมัส มุลเลอร์ ที่พังตาข่ายให้ทัพ "เสือใต้" ออกนำท่ามกลางเสียงเฮสนั่นหวั่นไหวของแฟนบอล
แต่ในนาทีที่ 88 ดิดิเยร์ ดร็อกบา ขึ้นโหม่งลูกเตะมุมเสียบตาข่ายให้สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1 ยื้อไปจนถึงช่วงต่อเวลากระทั่งดวลจุดโทษทัพ "สิงห์บลูส์" ก็ห่อเหี่ยวก่อนเลยเมื่อคนแรกที่ยิงอย่าง ฆวน มาต้า พลาดก่อนเลย
อย่างไรก็ตามอีก 4 คนที่เหลือทั้ง ดาวิด ลุยซ์, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, โจ โคล และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ไม่พลาดเลย ส่วนฝั่ง บาเยิร์น มิวนิค มาพลาด 2 คนสถดท้ายทั้ง อิวิช่า โอลิช และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์
ถือเป็นเกมที่แฟนบอล เชลซี ไม่มีวันลืมอย่างแน่นอนเพราะนี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรกับการคว้าโทรฟี่ใหญ่ของยุโรปเป็นครั้งแรก
การาบัก 0-4 เชลซี
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
22 พฤศจิกายน 2017
การเจอกับ การาบัก อาจจะไม่ได้เป็นศึกที่น่าสนใจเหมือนกับเกมที่เอ่ยมาก่อนหน้านี้ แต่แฟนบอลก็มีความทรงจำที่ดีกับการเดินทางไกลกว่า 6,000 ไมล์ มาที่ อาเซอร์ไบจาน
หลังจากเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม "สิงห์บลูส์" ก็เปิดบ้านถล่มมาขาดลอย 6-0 เกมที่พวกเขาไปเยือนในนัดที่ 5 ก็ไม่ได้ดุดันน้อยกว่าเท่าไรด้วยชัยชนะท่วมท้น 4-0
เอแด็น อาซาร์, วิลเลี่ยน (2 ประตู) และ เชส ฟาเบรกาส ช่วยกันทำประตูนัดนี้ และทำให้ เชลซี การันตีผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ได้สำเร็จ
เชลซี 4-4 อาแจ็กซ์
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
6 พฤศจิกายน 2019
แม้ว่าเกมนี้จะไม่ได้จบลงด้วยชัยชนะอย่างสวยงามของ เชลซี แต่การเดินหน้าลุยอย่างดุดันของนักเตะในเกมนี้ควรค่าแก่การปรบมือให้
"สิงห์บลูส์" เสียประตูก่อนตั้งแต่ 2 นาทีแรกจากกรทำเข้าประตูตัวเองของ แทมมี่ อบราฮัม แต่ว่านาทีที่ 5 ทีมก็มาได้จุดโทษและ จอร์จินโญ่ ก็มาตามตีเสมอให้กับทีมได้
อย่างไรก็ตามกลายเป็น อาแจ็กซ์ ที่ทำได้ดีในจังหวะเข้าทำและทะลวงตาข่ายทิ้งห่างถึง 4-1 จาก ควินซี่ โปรเมส นาทีที่ 20, เกปา อาร์รีซาาลาก้า ที่ทำเข้าประตูตัวเองอีกครั้งนาทีที่ 35 และ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค นาทีที่ 55
สถานการณ์มาพลิกเมื่อ เชลซี ไล่มาเป็น 2-4 จาก เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า แถมทีมเยือนยังมาเหลือ 9 คนเมื่อ ดาเล่ย์ บลินด์ และ โยเอล เฟลท์มัน มาโดนไล่ออกติดๆ กันนาทีที่ 68 และ 69 จากนั้นก็เป็นเจ้าบ้านลุยแหละและมาตีเสมอจนได้จากจุดโทษของ จอร์จินโญ่ นาทีที่ 71 และ รีซ เจมส์ นาทีที่ 74
ถึงแม้ว่ายังมีเวลาอีกเยอะพอสมควรที่จะยิงเอาชนะได้แต่ทีมทำไม่สำเร็จ แต่ก็ถือเป็นเกมที่สร้างความประทับใจให้แฟนบอลจริงๆ