ผู้วางรากฐานแห่ง เชลซี

"ผมต้องเผชิญความจริงของ พรีเมียร์ลีก - จิตวิญญาณนักสู้" แข้งชาวฝรั่งเศส ยังคงจดจำวันแรกที่ลงสนามให้กับ "สิงห์บลูส์" ได้อย่างแม่นนำ แม้ว่าจะผ่านมานานถึง 27 ปีแล้วก็ตาม
เขามาถึง อังกฤษ ในฐานะแชมป์ฟุตบอลโลก, แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ ลีก - ครั้งแรกกับ มาร์กเซย และหลังจากนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในทีม เอซี มิลาน ที่ครองความยิ่งใหญ่ในช่วงกลางทศวรรษที่ 90
เดอไซยี่ เปลี่ยนแปลงจากตำแหน่งกองกลางจอมทำลายเกมใน อิตาลี แม้กระทั่งการโฆษณารองเท้าฟุตบอลคนโปรดยังถูกวาดให้วอลเลย์ลูกบอลทะลุกำแพงอีกด้วย
ที่ เชลซี เขาปรับบทบาทมาเป็นหัวใจในแล้วรับร่วมกับเพื่อนร่วมชาติอย่าง ฟร้องค์ เลอเบิฟ กลายเป็นคู่หูที่ถูกคาดหวังอย่างสูงว่าจะประสานงานอย่างลงตัวให้กับทีม
"ในเกมแรกผมมาเล่นที่ โคเวนทรี แล้วสนามกีฬาเล็กมาก และผมก็ไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับคุณภาพของคู่แข่ง มีแค่ ดิออน ดับลิน เท่านั้น"
"ในตอนนั้น ด้วยความที่แฟนบอลอยู่ใกล้กับนักเตะมากมันเป็นอะไรที่แตกต่างออกไป มันเป็นอีกโลกหนึ่งกับการมาจาก ซาน ซีโร่ มันยากมากๆเลยเพราะผมมาพร้อมกับความมั่นใจเต็มเปี่ยม ผมมาจาก เอซี มิลาน, มาในฐานะแชมป์โลก"
เดอไซยี่ โดน ดับลิน ไล่อัดอย่างยับเยิน เค้าต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างหนักและช้ำไปทั้งตัว แถมยังต้องรับมือกับคู่หูของ ดับลิน อย่าง ดาร์เร็น ฮัคเคอวร์บี้ อีกคน
แฟนบอลเจ้าบ้านตะโกน "อังกฤษ - อังกฤษ - อังกฤษ" ขณะที่ทีมของ จานลูก้า วิอัลลี่ ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโลกเจอกับความยากลำบากและจบเกมด้วยความพ่ายแพ้ 1-2 และสื่อผู้ดีอย่าง อินเดเพนเดนต์ ก็พาดหัวข่าวในเช้าวันรุ่งขึ้นว่า "หนุ่มหล่อโดนพ่อค้าเหล็กกระหน่ำ"
แต่คติประจำใจของ วิอัลลี่ คือ "ชนะหรือไม่ก็เรียนรู้" และผู้เล่นใหม่ก็แสดงมันออกมาในสัปดาห์, เดือน และซีซั่นต่อมา เดอไซยี่ ก็เปลี่ยนจากวันนั้นกลายเป็นบุคคลสำคัญในทีมที่ไม่แพ้เกมลีกนาน 21 นัดจากเกมเปิดซีซั่นที่แพ้ โคเวนทรี
เค้าคือรากฐานของแนวทางการป้องกันแบบใหม่ นอกจากความแข็งแกร่งยังมีความฉลาดและพรสวรรค์ทางด้านเทคนิคด้วย เขาได้รับฉายาว่า “เดอะ ร็อค” แต่รูปแบบการเล่นของเขามีความชัดเจนทำให้การป้องกันของเขาถูกจับตามองอย่างมาก
"การคาดเดา, ใช่ การคาดเดาการผ่านบอลของคู่แข่ง ใช่เลย มันเป็นหนึ่งในจุดแข็งของผม เป็นความสามารถของผม ถึงแม้ว่าผมจะอายุ 29, 30 ปีแล้ว ผมก็อยากเผชิญหน้ากับความท้าทายนั้นและความภาคภูมิใจในการเป็นกองหลัง ผมเคยหงุดหงิดในช่วงปีก่อนที่จะมา อังกฤษ ในฐานะกองกลางคุณจะไม่รู้สึกถึงรางวัลเมื่อแย่งบอลจากคู่แข่งหรือเข้าปะทะที่เฉียบขาดได้ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมที่ได้สัมผัสประสบการณ์ในอังกฤษ ซึ่งคุณจะได้รับรางวัลจากการเข้าสกัดที่ยอดเยี่ยม"
"มันเป็นยุคที่ดีที่มีกองหน้ามากมาย มีความหลากหลายสูงในการวางตำแหน่ง และอีกครั้งนะ ความเข้มข้นของเกมในทุกการแข่งขัน"
"แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับนักเตะ เชลซี อย่างพวกเรา - สำหรับคนรุ่นนั้นนะคือเราสร้างรากฐานของการครองบอล เราครองบอลได้ จะมีก็แค่ แกรม เลอ โซซ์ ที่เวลาได้บอลทางซ้ายเค้าอยากจะเตะบอลแบบนักเตะ อังกฤษ ทั่วไปซึ่งนั่นก็โอเคสำหรับเรา"
"แต่ใช่ เราเริ่มต้นด้วยการครองบอลเพราะคุณมี โปเยต์, แดน เปเตรสคู, จานฟรังโก้ โซล่า จอมมหัศจรรย์ เราภูมิใจมากที่เรานำสิ่งที่แตกต่างออกไป สร้างทัศนคติแห่งชัยชนะให้กับ เชลซี ด้วยการครองบอล ไม่ใช่ด้วยวิธีการเล่นแบบ อังกฤษ ทั่วไป"
ในฤดูกาลแรกของ เดอไซยี่ ที่ อังกฤษ, เชลซี แพ้แค่สามเกมเท่านั้นเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เราเสมอมากเกินไปและจบด้วยการมีแต้มตามหลัง "ปีศาจแดง" 4 คะแนน โดยมี อาร์เซน่อล เป็นรองแชมป์
"น่าเสียดายที่มันต้องใช้เวลา เราอยู่ในสถานการณ์ที่เมื่ออยู่ในบ้านเรามีความสามารถที่จะชนะและก็คว้าชัยชนะได้จริงๆ แต่ในเกมเยือนด้วยรูปแบบการครองบอลที่เราพยายามทำ… มันเป็นไปไม่ได้"
"เราเสียแต้มไปเยอะมากกับเกมเยือนเพราะเราเป็นนักเตะคนละประเภท มันคือปัญหา เราไม่รู้จักวิธีการเล่นโต้กลับเมื่อเทียบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล ที่จัดทีมมาเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของฟุตบอลอังกฤษ เราเหนือกว่าคู่แข่งอยู่เล็กน้อยในตอนนั้น"
นี่เป็นประเด็นที่น่าคิด ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล เล่นเกมโต้กลับด้วยจังหวานที่รวดเร็วซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฟุตบอล อังกฤษ ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษใหม่ ในขณะที่ทีมกลับต้องการเล่นแบบเน้นครองบอลบอลซึ่งเป็นรูปแบบที่ทีมคุ้นเคยเหมือนยุคปัจจุบัน
"ห้ามเตะบอลทิ้ง" นี่คือนิยามที่ทีมเป็นในข่วงเวลาที่ เดอไซยี่ อยู่กับสโมสรครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของ วิอัลลี่ และต่อมาภายใต้การนำของ เคลาดิโอ รานิเอรี่
อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเส้นทางกับสโมสรเริ่มเห็นแนวทางที่แตกต่างออกไปและที่พร้อมท้าชิงแชมป์อย่างจริงจังมากขึ้น
"ในปี 2004 ถ้า อาร์เซน่อล ไม่ได้ทำผลงานไร้พ่ายเราคงจะได้แชมป์ไปแล้วเพราะด้วยคุณภาพของผู้เล่นทั้ง เวรอน, มาเกเลเล่, เครสโป, เฌเรมี… จอห์น เทอร์รี่ ก็กำลังพุ่งขึ้นมา, แลมพาร์ด ก็เช่นเดียวกัน"
"รานิเอรี่ ทำได้ดีมาก เขาปั้น แลมพาร์ด ที่มาจาก เวสต์แฮม ตอนแรกเราไม่เข้าใจกันเลยเพราะว่าเขาซ้อมได้ไม่ดีนัก แต่เขามีความฉลาด รู้ไหม ที่ลดความพยายามลงในการซ้อมแต่ในเกมการแข่งขัน ว้าว กองกลางคนนี้ฉลาดจริงๆ"
"ส่วน จอห์น เรารู้ว่าเค้าเป็นผู้นำอยู่แล้วตั้งแต่แรกเห็น ผมดูเขาเติบโต มีความสด เป็นคน อังกฤษ… มีความพร้อม มาซ้อมในเสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้นตอนที่อุณหภูมิติดลบ 4 หรือ 5!"
"แต่ผมอยากจะบอกว่าเราภูมิใจที่ได้สร้างรากฐานนี้ขึ้นมา ผมขอพูดอีกครั้งว่าทัศนคติแห่งชัยชนะของ เชลซี เริ่มต้นจากพวกเรา และด้วยความโชคดีเล็กๆ น้อยๆ กับการได้ (โรมัน) อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร"
หนึ่งในเกมที่อยู่ในความทรงจำของ เดอไซยี่ หนีไม่พ้นการประเชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2002/2003 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่มีพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เป็นเดิมพัน
ก่อนลงสนามทั้งคู่มี 64 คะแนนเท่ากัน แต่ทัพ “สิงห์บลูส์” มีผลต่างประตูที่ดีกว่ากุมความได้เปรียบอยู่เล็กน้อย ขณะที่สถานการณ์ทางการเงินของสโมสรไม่ดีนักและทีมจำเป็นที่จะต้องไปเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรปให้ได้เพราะด้วยเงินรางวัลมหาศาลที่จะช่วยได้อย่างมาก
"ใช่, ใช่ เรื่องการเงินมันไม่ดีเท่าไหร่นัก มันยากลำบากมากดังนั้นผมรู้สึกได้ว่ามันพิเศษ จริงอยู่การดวล บาร์เซโลน่า, เอซี มิลาน ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสิ่งที่พิเศษ แต่เกม พรีเมียร์ลีก นัดนั้นกับ ลิเวอร์พูล ก็มีความตรึงเครียดอย่างมาก"
วันนั้นทีมตกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนแต่ เดอไซยี่ ก็นำทีมกลับสู่เกมด้วยการโหม่งประตูตีเสมอก่อนที่ เยสเปอร์ โกรนชาร์ ประตูชัยให้ทีมคว้าชัยชนะไปครองได้สำเร็จ
"กับความรับผิดชอบในฐานะกัปตันทีม รู้ไหม? เราตามหลัง 0-1 ผมอธิบายไม่ถูกว่าทำไมผมถึงไปอยู่ตรงนั้น (จังหวะเสียประตู) และไม่มีเหตุผลที่ผมต้องไปอยู่ตรงนั้น"
"มันคือความรับผิดชอบ ผมต้องลองทำอะไรซักอย่าง เลยดันขึ้นหน้าและแสดงให้เพื่อนร่วมทีมเห็นถึงศักยภาพของตัวเองและแน่นอนว่ามันช่วยได้มากที่ โกรนชาร์ ทำแบบนั้น!"
"ใช่ เราพอใจกันมากๆ เมื่อคุณเห็นพัฒนาการของ เชลซี หลายปีหลังจากนั้น… ผมย้ายออกจากสโมสร (ในปีถัดมา) เพราะผมอายุ 35 ปีแล้ว ผมอยู่ต่อไม่ได้ ผมเหลือเวลาอีก 1 ปี และผมได้ไปสัมผัสบรรยากาศฟุตบอลที่ตะวันออกกลาง แต่ขณะเดียวกันก็ยังคอยตามดู เชลซี พวกเขาคว้าแชมป์ลีก ในปีที่ผมย้ายออกมาพวกเขาเป็นแชมป์ลีก!"
"ใช่ มันไม่ยุติธรรมเลย มันเกิดขึ้นที่ มิลาน เช่นกันแต่มันแตกต่างออกไปเพราะผมเคยคว้าแชมป์กับพวกเขามาแล้วส่วนกับ เชลซี มันเป็นทั้งความสุขและทุกข์"
ถึงกระนั้นสถานะตำนานของเขาก็ยังเป็นที่ยอมรับโดยเขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้รับการจารึกชื่อบนกำแพง เชด วอลล์ ในรายชื่อกัปตันทีมของ เชลซี อยู่ตรงกลางระหว่างชื่อของ เดนนิส ไวส์ และ จอห์น เทอร์รี่
"เดนนิส เป็นกัปตันทีมของเรามาอย่างยาวนานและเขาก็เป็นผู้เล่นระดับตำนาน ด้วยจิตใจแบบพิตบูลล์ ดังนั้นเราเดินตามรอยเขา เราพร้อมจะตายเพื่อเขา"
"ผมเป็นกัปตันทีมในแบบที่แตกต่างออกไป พยายามทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ผ่านประสบการณ์ระดับสูงสุด ผมภูมิใจมากที่ได้เป็นกัปตันทีม เชลซี พูดได้เลยว่ามันสุดยอดมาก"
"ผมอยากได้อะไรที่แตกต่างและผมดีใจที่ได้ย้ายมาที่นี่แม้ว่าผมจะเคยเล่นที่ มิลาน มันเป็นการย้ายทีมที่ดีสำหรับผมทั้งในด้านฟุตบอลและไลฟ์สไตล์ สิ่งสำคัญที่ลูกของผมได้สัมผัสประสบการณ์นี้แม้กระทั่งตอนนี้ลูกของผมก็ยังขอบคุณที่พวกเขาได้สร้างคอนเน็คชั่นส์ที่โรงเรียนใน ฝรั่งเศส ได้ไปใช้ชีวิตในประเทศที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอย่าง อังกฤษ และการได้เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับสิ่งที่ตอนนี้คือ พรีเมียร์ลีก ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ"