ตั้งแต่เริ่มเกม ทั้งสองทีมสู้กันอย่างสนุกหลังจากที่ต่างก็เพิ่งโชว์ฟอร์มเยี่ยมในฟุตบอลยุโรปที่ชนะ บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค มา
ก่อนเสียเปรียบตัวผู้เล่น
ถือว่าน่าเสียดายกับใบแดงของ มอยเซส ไกเซโด้ ไม่อย่างนั้นเกมน่าจะสนุกกว่านี้โดยเฉพาะฝั่ง "สีน้ำเงิน" เมื่อมองจากเกมช่วงที่มี 11 คนเท่ากัน
พลังและความมุ่งมั่นของทีมยามไม่ได้ครองบอลจัดการกับเกมรุกของ อาร์เซน่อล ได้อย่างดีเยี่ยม และยังมีเกมรุกที่เหนือกว่าเมื่อมองเห็นได้จากการผ่านบอลสำเร็จในแดนหน้าและพื้นที่สุดท้ายมากกว่า ทำให้ทีมมีโอกาสลุ้นประตูมากกว่า 4 ครั้งต่อ 1 ครั้ง โดยมีค่า xG ที่มากกว่า 2 เท่า
การผ่านบอลของทีมแม่นยำมากกว่าที่ 85 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 78 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการดวลลูกกลางอากาศที่ทำได้ดีกว่าเช่นกันโดยมีอัตราความสำเร็จที่ 76 เปอร์เซ็นต์
ที่จริงแล้ว อาร์เซน่อล มีโอกาสยิงเพียง 2 รั้งในครึ่งแรก ซึ่งน้อยที่สุดในลีกนับตั้งแต่เกมที่ เดอะ บริดจ์ เมื่อเดือนตุลาคม 2023 เลย
แน่นอนว่าใบแดงทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป และ เชลซี ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วกับการมีผู้เล่นน้อยลง 1 คน
มองในแง่บวก
หลังการออกจากสนามของ มอยเซส ไกเซโด้ ทาง เอ็นโซ่ มาเรสก้า สั่งการให้ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ถอยลงมาคุมตรงกลางร่วมกับ รีซ เจมส์ ในทันทีเพื่ออุดรอยรั่วตรงนั้น
นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนยังแสดงความกล้าด้วยการไม่เปลี่ยนตัวผู้เล่นด้วย ใช้เวลาช่วงพักครึ่งในการวางแผนและเปลี่ยนตัวเอา อเลฮานโดร การ์นาโช่ ลงมาแทน เอสเตเวา เมื่อออกสตาร์ทครึ่งหลัง ตามด้วย เลียม ดีแล็ป ที่ลงเล่นแทน ชูเอา เปโดร ในนาทีที่ 55
มาโล กุสโต และ มาร์ก กูกูเรย่า ยังเติมเกมรุกเสมอเมื่อมีโอกาส ส่วนกัปตันทีมอย่าง รีซ เจมส์ ก็ทำได้อย่างโดดเด่น (เป็น แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ เกมนี้) ตั้งตอนมีบอลและไม่มีบอล การวิ่งจากแนวลึกและการจ่ายบอลของเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเกมโต้กลับของทีมในครึ่งหลัง
สังเกตได้ว่าแม้ อาร์เซน่อล พร้อมจะเล่นกับเวลาตอนที่มีผู้เล่นเท่ากัน แต่ เชลซี ยังสู้ได้อย่างไม่เป็นรองเมื่อกลับมาเล่นครึ่งหลัง แม้กระทั่งในยามที่ โรเบิร์ต ซานเชซ เขาก็ไม่คิดที่จะดึงเกมช้สและออกบอลในทันที
และเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย เชลซี กลายเป็นทีมแรกนับตั้งแต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันเปิดฤดูกาลที่มีโอกาสยิงประตู อาร์เซน่อล อย่างน้อยถึง 10 ครั้ง
ความสำเร็จจากลูกตั้งเตะ
ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา อาร์เซน่อล ได่รับการยกย่องว่าเป็นทีมที่มีประสิทธิาพยอดเยี่ยมที่สุดในการเล่นลูกตั้งเตะซึ่งเป็นกุญแจสำคัญช่วยทีมในยามที่ไม่สามารถเจาะตาข่ายคู่แข่งในการเล่นจังหวะ โอเพ่น เพลย์ ได้
แม้จะไม่ได้อยู่ใน "แสง" แต่อันที่จริง เชลซี เองก็มีทีเด็ดตรงจุดนี้เช่นกันหลังทำไปแล้ว 8 ประตูและบวกลูกที่ 9 ในนัดนี้จากลูกเตะมุมที่ รีซ เจมส์ เปิดมาถึง เทรโวห์ ชาโลบาห์ โหม่งเข้าไป ส่วน อาร์เซน่อล ทำไป 10 ประตูในฤดูกาลนี้
ในทางกลับกัน "สิงห์บลูส์" จำกัดโอกาสให้ อาร์เซน่อล ได้เตะมุมเพียง 3 ครั้งตลอดทั้งเกม โดยครั้งแรกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ต้องรอถึงนาทีที่ 45 ที่ โรเบิร์ต ซานเชซ ออกมารับบอลด้วยความมั่นใจ
ลูกเตะมุมของ "ปืนใหญ่" เกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงทดเจ็บครึ่งแรกซึ่ง โรเบิร์ต ซานเชซ ก็ถึงก่อนอีกครั้ง พร้อมกับออกบอลเร็วให้ เปโดร เนโต้เล่นเกมสวนกลับเหมือนกับหนแรก โดยเพือนร่วมทีมพยายามอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าผู้รักษาประตูชาวสเปนจะไม่ถูกบล็อกขณะที่เขากำลังวิ่งเข้าหาบอลเหมือนอย่างที่เห็นยาม อาร์เซน่อล ได้เล่นลูกตั้งเตะที่จะมีนักเตะของพวกเขาก่อกวนนายทวารคู่แข่ง
ที่น่าประทับใจกว่านั้นคือเมื่อ อารเซน่อล ได้ตั้งเตะ เชลซี เลือกจะให้ อเลฮานโดร การ์นาโช่, เปโดร เนโต้ และ เลียม ดีแล็ป ยืนสูงบีบให้ อาร์เซน่อล ต้องถอนนักเตะลงมาตามประกบเผื่อเอาไว้ก่อน
ซูเปอร์ ซานเชซ
นอกจาก รีซ เจมส์ ที่คว้า แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม อีกคนที่ลืมไม่ได้ก็คือ โรเบิร์ต ซานเชซ ที่เอง
ในช่วงเวลาสำคัญของเกมมือกาวชาวสเปน ทำการเซฟถึง 2 หน ไม่ให้ทีมต้องตกเป็นฝ่ายตามหลัง
ครั้งแรกเกิดขึ้นไม่นานหลังทีมโดนใบแดงที่เขาจัดการลูกยิงของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และครั้งที่สองในช่วงท้ายเกมที่เซฟจังหวะยิงของ มิเกล เมรีโน่ ที่แม้หลุดมือแต่ตามไปรับอย่างกล้าหาญก่อนที่จะโดน วิคเตอร์ โยเคเรส ตามซ้ำ
