ฤดูกาลชี้ชะตาของ อาร์เซน่อล

ในซัมเมอร์นี้ อาร์เซน่อล ทุ่มเงินเสริมทัพในระดับ 200 ล้านปอนด์ เพื่อดึงผู้เล่นใหม่เข้าทีมหลายคน ไม่ว่าจะเป็น วิคตอร์ โยเคเรส, มาร์ติน ซูบีเมนดี้, โนนี่ มาดูเอเก้, คริสเตียน นอร์การ์ด, คริสเตียน มอสเกร่า และ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า
ตัวเลขใช้เงินใกล้เคียงซัมเมอร์ 2023 ที่ดึง เดแคลน ไรซ์, เจอร์เรียน ทิมเบอร์ และ ไค ฮาแวร์ตซ์ มาร่วมทีม และเห็นได้ถึงการ "ยกเครื่อง" ครั้งใหญ่ของทีม
ผู้เล่นใหม่ในซัมเมอร์นี้เป็นการแก้ปัญหาตรงจุดทั้ง กองหน้าตัวเป้าอย่าง โยเคเรส และห้องเครื่อง ซูบีเมนดี้ ที่เข้ามาแทน โธมัส ปาร์เตย์ รวมไปถึงกำลังเสริมตั้งแต่แดนหน้า กลาง หลัง และผู้รักษาประตู
ขุมกำลังตอนนี้ถือว่าพร้อมมากกว่าหลายฤดูกาลที่ผ่านมา สามารถจัดสองทีมคุณภาพใกล้เคียงกันได้ และยังอยู่ในตลาดซื้อขายเพื่อเสริมตัวรุกที่เล่นได้ทั้งตรงกลางและฝั่งซ้ายอีกหนึ่งตำแหน่ง
เป็นการปรับเปลี่ยนทีมที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่า "ต้องการลุ้นแชมป์" และต้องทำให้ได้หลังจากอกหักได้เพียงรองแชมป์พรีเมียร์ลีกมาตลอด 3 ฤดูกาลหลังสุด
ไม่ใช่เพียงแค่ดึงผู้เล่นใหม่มาเสริม แต่ มิเกล อาร์เตต้า กำลังปรับรูปแบบการเล่นใหม่ด้วยการเล่นแบบ "ไดเรกต์" มากขึ้น ทำเร็ว ทำไว ไม่มัวแต่เน้นครองบอลเหมือนที่ผ่านมา
การเลือก โยเคเรส มาร่วมทีมก็เพื่อตอบสนองวิธีการเล่นใหม่นี้ และเป็นผู้เล่นที่ "พร้อมใช้" ทันที เพราะต้องการคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 22 ปีให้ได้
6 แข้งใหม่ซัมเมอร์นี้
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ไม่เดินหน้าต่อในดีลของ เบนยามิน เชชโก้ ที่อาจต้องรอ 1-2 ปีเพื่อพุ่งขึ้นสู่ระดับท็อป
แน่นอนว่าในฤดูกาลใหม่นี้ แรงกดดันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพราะมีโอกาสในหลายต่อหลายฤดูกาลแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งนานวันเข้า ภารกิจยิ่งยาก และมีตัวอย่างไม่น้อยที่ "ไม่สามารถเข้าใกล้โอกาสที่เคยทำได้อีก"
อาร์เซน่อล แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีในยุค อาร์เตต้า จากจุดที่เหมือนทีมที่พังพินาศในปี 2020 กลายมาเป็นทีมที่เดินหน้าได้แข็งแกร่งจริงจังอีกครั้ง และตอนนี้เหลือเพียงการก้าวไปสัมผัสถ้วยรางวัลให้ได้เสียที
ก่อนหน้านี้มีหลายสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ อาร์เซน่อล ไม่ว่าจะเป็นการสู้กับ แมนฯ ซิตี้ ที่แข็งแกร่งของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือในวันที่เรือใบอ่อนแรงลงเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก็ยังมี ลิเวอร์พูล แทรกขึ้นมาคว้าแชมป์ได้
นอกจากนี้ สโมสรเชื่อว่าสาเหตุอื่นก็ส่งผลไม่น้อย เช่น อาการบาดเจ็บของผู้เล่นตัวหลัก และการทำหน้าที่ผู้ตัดสินที่ไร้ซึ้งมาตรฐาน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ อาร์เตต้า พูดจริงจังหลังแพ้ เปแอสเช ในถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก ว่า "เรายังอยู่ในจุดที่ดี" และไม่ใช่ข้อแก้ตัวเพราะขุมกำลังตอนนี้มีโครงสร้างที่ลงตัวมากขึ้น และอายุเฉลี่ยกำลังพอดี
ทุกคนในสโมสรยังมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะจินตนาการถึงสถานการณ์ที่อาจล้มเหลวอีกครั้ง เหมือนที่เคยเกิดกับทีมที่ดีแต่ไม่ได้แชมป์หลายปี เช่น ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ยุค เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
โชคดีที่ตอนนี้ห้องแต่งตัวของทีมเต็มไปด้วยความมั่นใจ โดยเฉพาะหลังถล่ม แอธ.บิลเบา 3-0 ในการอุ่นเครื่องนัดล่าสุด เออร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ กุนซือบิลเบาถึงกับชมว่า อาร์เซน่อล อยู่ใน "อีกระดับ" ไปแล้วและ ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง"
มิเกล อาร์เตต้า ต้องพาทีมไปถึงแชมป์ให้ได้
อาร์เซน่อล ถูกวิจารณ์ว่าเกมรุกลดประสิทธิภาพลงไปมาก และในหลายครั้งต้องพึ่งพาลูกตั้งเตะเพื่อเอาตัวรอด ทีมงานชี้แจงว่า พวกเขาจำเป็นต้องปรับ เพราะมีปัญหาอาการบาดเจ็บ และต้องผู้เล่นตัวเดิมมากเกินไป
แต่ตอนนี้ หลายปัญหาถูกแก้ไข ไม่ใช่แค่การได้กองหน้าใหม่อย่าง โยเคเรส แต่เพราะการมาของ ซูบีเมนดี้ ก็สำคัญไม่แพ้กัน และหลายคนมองว่าสำคัญกว่าด้วยซ้ำ
ซูบีเมนดี้ เติมเต็มและสร้างความมั่นใจในแดนกลางทันที แถมมีไอเดียหลากหลายให้ใช้ตามคู่แข่งที่เจอซึ่งเป็นสิ่งที่ อาร์เตต้า ชอบมาก
ฤดูกาล 2025/26 จึงไม่ใช่แค่ปีที่ "ต้องลุ้นแชมป์" แต่คือปีที่ "ต้องทำให้ได้" และไม่มีข้อแก้ตัวอีกต่อไป สำหรับ มิเกล อาร์เตต้า
หาก อาร์เซน่อล พลาดอีกครั้ง โอกาสที่เคยใกล้แค่เอื้อมอาจกลายเป็นอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ แต่หากทำสำเร็จ นี่จะเป็นฤดูกาลที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่างแท้จริง