เปิดยุค'แบร์ต้า'พาปืนเสริมทัพโหด

8 แข้งใหม่ประกอบด้วย
1. เกปา อาร์ริซาบาลาก้า จาก เชลซี ค่าตัว 5 ล้านปอนด์
2. มาร์ติน ซูบิเมนดี้ จาก เรอัล โซเซียดาด ค่าตัว 55.8 ล้านปอนด์
3. คริสเตียน นอร์การ์ด จาก เบรนท์ฟอร์ด ค่าตัว 12 ล้านปอนด์
4. โนนี่ มาดูเอเก้ จาก เชลซี ค่าตัว 52 ล้านปอนด์
5. คริสเตียน มอสเกร่า จาก บาเลนเซีย ค่าตัว 17 ล้านปอนด์
6. วิคตอร์ โยเคเรส จาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ค่าตัว 63.5 ล้านปอนด์
7. เอเบเรชี่ เอเซ่ จาก คริสตัล พาเลซ ค่าตัว 67.5 ล้านปอนด์
8. ปิเอโร่ อินกาปีเอ้ จาก เลเวอร์คูเซ่น ยืมตัว บวกออปชั่นซื้อขาด 45 ล้านปอนด์
นับเฉพาะค่าตัวเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านปอนด์ แต่หากรวมแอดออน และมูลค่าในออปชั่นซื้อขาดจะมากถึง 317 ล้านปอนด์
การทุ่มทุนแบบจัดหนักมาพร้อมกับการเป็นที่พูดถึงของ อันเดรีย แบร์ต้า ผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของสโมสรที่อยู่เบื้องหลังดีลทั้งหมด
8 ผู้เล่นใหม่ของ อาร์เซน่อล ประจำซัมเมอร์นี้
แบร์ต้า ย้ายจาก แอตเลติโก มาดริด มาทำงานกับ อาร์เซน่อล ในเดือนมีนาคม แทนตำแหน่งของ เอดู ที่อำลาสโมสรในช่วงปลายปี
บุคลิกของสองคนนี้ต่างกันมาก แบร์ต้า เป็นคนค่อนข้างเงียบ ไม่ชอบออกสื่อ และโฟกัสการทำงานเป็นหลัก ขณะที่ เอดู คุ้นเคยกับการอยู่หน้ากล้องมากกว่า แต่ก็ทำงานเต็มที่เช่นกัน
ในยุคที่ใครๆ ก็โปรโมตตัวเอง แบร์ต้า เลือกทางตรงข้าม ไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีบทสัมภาษณ์ใหญ่โต สิ่งเดียวที่เขาพูดออกสื่อคือตอนประกาศนักเตะใหม่ หรือสัญญาใหม่
แบร์ต้า นิ่งเงียบเหมือนนักเรียนหลังห้อง และไม่ได้ทำอะไรหวือหวาในส่วนที่ไม่ใช่ภารกิจหลัก เช่นตอนเข้าไปร่วมแสดงความยินดีกับผู้เล่นของทีมหลังเกมเปิดสนามที่บุกชนะ แมนฯ ยูไนเต็ดเขาทำแบบเรียงง่าย จับมือ ตบหลัง และกระซิบแสดงความยินดีไม่กี่คำ
แต่ผอ.ชาวอิตาเลียนเป็นคนที่มีคอนเนกชั่นกว้างมากทั้งในสเปน และหลายประเทศ เหมือนตอนเข้าไปทักทาย เจนนาโร่ กัตตูโซ่ กุนซือทีมชาติอิตาลีคนใหม่ที่มาชมเกมในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดด้วย
อาร์เซน่อล เลือกให้ แบร์ต้า โฟกัสสองเรื่องสำคัญคือ นักเตะเข้า-ออก และการต่อสัญญาเท่านั้น
บางครั้งเขาโผล่มาให้เห็นแถวทีมชุดใหญ่ ถ้าไม่อยู่ในบ็อกซ์ผู้บริหารที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ก็อยู่ในออฟฟิศที่ลอนดอน โคลนี่ย์ หรือไม่ก็นั่งมองข้างสนามซ้อม ดูนักเตะใหม่ปรับตัว
โยเคเรส ดีลสำคัญที่ แบร์ต้า ผลักดันเต็มที่
ในวันแข่งขันทั้งตอนปรีซีซั่นและเกมในบ้านนัดแรกกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เขามักจะลงมายืนข้างสนามช่วงท้ายเกม และปรบมือเบาๆ ให้ลูกจุดโทษของ เยเคเรส จากข้างอุโมงค์ จากนั้นก็ยืนมองนักเตะอบอุ่นร่างกายหลังแข่งแบบเงียบๆ
ในวันเดดไลน์ตลาดนักเตะ อาร์เซน่อล คว้าผู้เล่นคนที่ 8 เข้ามาคือ อินกาปีเก้ จาก เลเวอร์คูเซ่น โดยนอกจากค่าตัวราว 52 ล้านยูโรแล้ว ทัพห้างยายังมีส่วนแบ่งขายต่ออีก 10%
หลายดีลในตลาดรอบนี้สำคัญมากโดยเฉพาะ วิคตอร์ โยเคเรส ที่ แบร์ต้า ผลักดันเต็มที่ และช่วยโน้มน้าวให้ มิเกล อาร์เตต้า และทีมงานเชื่อไปด้วยว่าเป็นการลงทุนที่สมเหตุสมผลแม้ค่าตัวเบื้องต้นจะอยู่ที่ 55 ล้านปอนด์
ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องเจอกับปัญหาเรื้อรังของ อาร์เซน่อล กับการขายนักเตะส่วนเกิน ซึ่งยังไม่สามารถแก้ไขได้ในตลาดนี้
ชื่อเสียงของ แบร์ต้า ในวงการคือ "นักเจรจามือทอง" ตัวอย่างที่ชัดเจนคือดีลของอินกาปีเอ้ ที่ต้องรอการปล่อยตัวของ ยาคุบ คีวิออร์ ไป ปอร์โต้
ทั้งสองดีลต้องเกิดพร้อมกัน ถ้า คีวิออร์ ไม่ย้าย อินกาปีเอ้ ก็จะไม่ถูกเซ็น และในทางกลับกัน หากดีล อินกาปีเอ้ ยังไม่แน่นอน อาร์เซน่อล ก็จะไม่ปล่อย คีวิออร์ ออกจากทีมเ
อีกความท้าทายของดีล อินกาปีเก้ คือเรื่องบัญชีการเงิน อาร์เซน่อล ใช้งบเสริมทัพไปแล้วราว 250 ล้านปอนด์ (เฉพาะค่าตัวเบื้องต้น) จึงไม่ต้องการให้ดีลนี้ไปรวมอยู่ในงบการเงินของปีปัจจุบัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับกฎการเงิน (FFP)
แต่ทาง เลเวอร์คูเซ่น ต้องการความมั่นใจว่า อาร์เซน่อล จะไม่ยืมแล้วทิ้ง หรือเปลี่ยนใจทีหลัง พวกเขาต้องการหลักประกันว่าการย้ายทีมแบบถาวรจะเกิดขึ้นแน่นอน
ปีเอโร่ อินกาปีเอ้ เข้ามาเสริมเกมรับเป็นคนสุดท้าย
ถ้าให้เป็นไปตามความต้องการแรกของ เลเวอร์คูเซ่น ดีลนี้จะถูกจัดการให้เป็นดีลยืมตัวพ่วง "บังคับซื้อขาด" (obligation to buy) ซึ่งเป็นข้อผูกพันแน่นอนว่า อาร์เซน่อล จะต้องซื้อในอนาคต และตามหลักบัญชีของฟุตบอล (โดยเฉพาะกฎ FFP / PSR ในยุโรป) การใช้เงินจะถูกบันทึกอยู่ในงบของปีปัจจุบันทันที แม้ว่าการจ่ายเงินจริงจะเกิดในปีถัดไปก็ตาม
แบร์ต้า จึงเสนอทางออกที่สร้างสรรค์สำหรับทั้งสองสโมสรนั่นคือ อาร์เซน่อล จะยืมตัว อินกาปีเก้ มาก่อน พร้อมเงื่อนไขพิเศษที่ให้ทั้งสองสโมสรมีสิทธิ "บังคับ" ให้ดีลกลายเป็นการซื้อขาดได้
ถ้า อาร์เซน่อล ไม่ใช้ออปชั่นซื้อถาวร เลเวอร์คูเซ่น สามารถใช้สิทธิของตัวเองบังคับให้ อาร์เซน่อล ต้องซื้ออยู่ดี
สรุปคือ ไม่ว่าจะยังไง อินคาปีเอ้ ก็จะเป็นนักเตะของ อาร์เซน่อล อย่างถาวร แต่ดีลจะถูกนับในงบปีหน้าแทนซึ่งเป็นข้อดีสำหรับทีมปืนใหญ่ในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงผิดกฎการเงิน ส่วนทัพห้างยาจะได้เงินแน่นอนในปีหน้า
นี่เป็นดีลในลักษณะเดียวกับที่ อาร์เซน่อล ทำกับ ปอร์โต้ ในการปล่อยตัว คีวิออร์ และความฉลาดในการจัดการของ แบร์ต้า แบบนี้ ทำให้ทีมงานที่ อาร์เซน่อล ประทับใจในตัวเขา
แบร์ต้า มีบทบาทในดีลแทบทุกดีล ตั้งแต่การเลือก เกปา แทน โจน การ์เซีย ไปจนถึงการเลือกนักเตะประสบการณ์อย่าง นอร์การ์ด แทนเด็กอย่าง ลูเซียง อากูเม่ ของ เซบีย่า
แม้บางดีล เช่น ซูบีเมนดี้ จะถูกเตรียมไว้ก่อนเขามา แต่เขาก็ยังมีน้ำหนักในหลายดีลสำคัญ โดยเฉพาะ เยอเคเรส ซึ่ง แบร์ต้า เป็นคนที่ตั้งมูลค่านักเตะไว้ชัดเจน ซึ่งช่วยให้ทีมหลีกเลี่ยงดีลแพงเกินจริงอย่าง เบนยามิน เชชโก้ ที่ตอนนั้นอาจต้องใช้เงินสูงถึง 84.5 ล้านยูโร (ในเวลาต่อมา เชชโก้ ย้ายร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวรวม 85 ล้านยูโร)
ปฏิบัติการฉกตัว เอเซ่ ได้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาที่ อาร์เซน่อล ต้องการเดินหน้าเสริมทัพเพื่อโอกาสลุ้นแชมป์ การมีคนที่ช่ำชองแบบ แบร์ต้า คือสิ่งที่จำเป็นมาก เขามีคอนเนคชั่นกับเอเยนต์ระดับท็อป มีทีมงานสนับสนุนชัดเจน เช่น เจมส์ คิง (ผอ.ฟุตบอล), แคลร์ วีทลีย์ (ผอ.ฟุตบอลหญิง) และ แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ (ผอ.อะคาเดมี)
แบร์ต้า ทำงานใกล้ชิดกับ อาร์เตต้า และ ทิม ลูอิส (รองประธานสโมสร) โดยทั้งสามทำงานแบบเงียบๆ แต่ทรงพลัง เหมือนตอนที่ปิดดีลปาดหน้าคว้าตัว เอเซ่ มาร่วมทีมได้แบบรวดเร็วทั้งที่นักเตะกำลังจะย้ายไป สเปอร์ส อยู่แล้ว
แม้จะพลาดเป้าบางคน เช่น โจ การ์เซีย, ดีน เฮาเซ่น หรือ ไบรอัน เอ็มเบอโม่ แต่ 8 คนที่ได้มาย่อมเป็นที่พอใจของ อาร์เตต้า
ในส่วนการรั้งตัวหลักที่มีอยู่แล้วเอาไว้กับทีมต่อไป แบร์ต้า จัดการได้ดีเช่นกันกับการต่อสัญญา กาเบรียล มากัลเญส, ไมลส์ ลูอิส‑สเกลลี่ และ อีธาน วาเนรี่ ได้สำเร็จ โดยเฉพาะรายหลังที่แม้ไม่ง่าย แต่ผอ.ชาวอิตาเลียนก็สามารถคลี่คลายสถานการณ์ และนำไปสู่ข้อตกลงอย่างรวดเร็ว
สำหรับตอนนี้ ยังเหลือการเจรจาต่อสัญญาของ บูกาโย่ ซาก้า และ วิลเลี่ยม ซาลีบา ซึ่งเป็นสองประเด็นสำคัญที่ แบร์ต้า รับไม้ต่อมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายน และจะเป็นภารกิจหลักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
แบร์ต้า ช่วยให้ อาร์เตต้า มีทีมที่ดีสุดในรอบหลายปี
อย่างไรก็ตามเรื่องการขายนักเตะยังคงเป็นจุดอ่อน
แม้ว่า แบร์ต้า จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในตลาดซื้อขายโดยเฉพาะการปล่อยตัว ยาคุบ คีวิออร์ ไป ปอร์โต้ เพื่อนำเงินมาหมุนดีล ปิเอโร่ อินกาปีเอ้ แต่โดยรวมแล้วรายรับจากการขายนักเตะยังต่ำกว่าที่สโมสรคาดหวัง
อาร์เซน่อลหวังว่าจะ ขายได้ ทั้ง คาร์ล เฮน, ฟาบิโอ วิเอร่า, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และ รีสส์ เนลสัน แต่สุดท้ายต้อง ยอมปล่อยยืมชั่วคราวแทน
ดีลของ เนลสัน ที่ไป เบรนท์ฟอร์ด และ วิเอร่า ไป ฮัมบูร์ก มีออปชั่นซื้อขาด แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าทั้งสองดีลจะถูกใช้งาน ขณะที่ แซมบี้ โลคองก้า ย้ายออกแบบถาวรไป ฮัมบูร์ก เช่นกัน แต่สโมสรก็ได้รับเพียงค่าตัวเล็กน้อยเท่านั้น
อาร์เซน่อล ต้องการปรับปรุงรายได้จากการขายนักเตะ เพื่อให้สามารถลงทุนในทีมชุดใหญ่ได้ต่อเนื่องในระยะยาว และยังต้องรอดูว่าการทุ่มเงินมหาศาลในซัมเมอร์นี้ (โดยไม่มีรายรับจากการขายเข้ามาเสริม) จะส่งผลกระทบต่อขีดจำกัดทางการเงินในตลาดรอบหน้าแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม แบร์ต้า ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเก่งในด้านการเสริมทัพ ถ้าเขาสามารถยกระดับ อาร์เซน่อลให้เก่งเรื่องการขายนักเตะได้ด้วย มันอาจเปลี่ยนแปลงภาพรวมทางการเงินของสโมสรอย่างมหาศาล
แบร์ต้า เพิ่งเข้ามาได้เพียงไม่กี่เดือน แต่ถือสร้างผลงานและอิทธิพลให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว และมอบขุมกำลังที่ดีที่สุดในรอบหลายปีให้กับ มิเกล อาร์เตต้า สำหรับไล่ล่าความสำเร็จ
อยู่ที่ อาร์เตต้า แล้วว่าจะพาทีมชุดนี้ไปไกลแค่ไหน